รวมสี่เมืองทิพย์จากหนังสือดัง ที่ไม่ควรพลาด

1042

จินตนาการเป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาสมองและกระตุ้นการเรียนรู้ แต่บางครั้ง ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาได้ด้วยตนเอง (แอดเองก็เช่นกัน ฮ่า ๆ )
จึงต้องคอยอาศัยจินตนาการของผู้อื่นเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป นักเขียนชื่อดังมากมายได้สร้างโลกอีกใบขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่มันแสนจะ fantastic (น่าอัศจรรย์) วันนี้ทาง Engnow เลยอยากจะพาทุกคนหลุดเข้าไปในเมืองทิพย์ที่ถูกรังสรรค์มาเป็นอย่างดีและจะอธิบายที่มาของชื่อเมืองแต่ละชื่อให้ฟังกันค่ะ

 Godric’s Hollow (the boy who lived)

มาเริ่มกันนวนิยายอันเป็นที่หนึ่งในใจของหลาย ๆ คนอย่าง Harry Potter กันเลยค่ะ นวนิยายชุดนี้ที่ว่าด้วยเด็กชายผู้รอดชีวิต (the boy who lived) จากจอมมารอันชั่วร้ายและการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว ในโลกเวทมนตร์อันกว้างใหญ่นี้มีเมืองอยู่มากมาย และอย่างที่แฟน ๆ คงจะทราบกันดีว่าเหล่าผู้วิเศษสามารถแฝงตัวเข้ากับคนธรรมดาหรือมักเกิ้ลอย่างเรา ๆ ได้อย่างแนบเนียนถึงขนาดที่ว่านอกจากจะมีเมืองอยู่ในมิติของตนเองแล้ว เหล่าผู้วิเศษยังมีเมืองของตัวเองอยู่ในโลกมักเกิ้ลเลยก็ว่าได้ หนึ่งในเมืองที่โด่งดังที่สุดในเรื่องคงหนีไม่พ้น Godric’s Hollow ซึ่งเป็นหมู่บ้านของมักเกิ้ลที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอังกฤษอันเป็นสถานที่เกิดของ Harry Potter พระเอกของเรานั่นเอง

.

            ที่หมู่บ้านนี้ได้ชื่อว่า Godric’s Hollow นั่นก็เพราะว่าหมู่บ้านนี้นั้น นอกจากจะเป็นบ้านเกิดของ Harry Potter แล้วยังเป็นบ้านเกิดของ Godric Gryffindor หนึ่งในสี่พ่อมดผู้ก่อตั้งโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ( Hogwarts School of Witchcraft and Wizardry) เท่านั้นไม่พอค่ะ ยังเป็นสถานที่ที่หลุมศพของเขาตั้งอยู่ด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ Godric’s Hollow (โพรงของก็อดริค)


capital of the Seven Kingdoms

 King’s Landing (A Song of Ice and Fire)

ไปต่อกันที่เมืองทิพย์เมืองต่อไปกันเลยค่ะ เมืองเมืองนี้มีชื่อว่า King’s Landing เป็นเมืองที่ปรากฏอยู่ในหนังสือชุด A Song of Ice and Fire ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง Game of Thrones ว่าด้วยเรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์ของทายาทแห่งอาณาจักรทั้งเจ็ดแห่งเวสเทอรอสหลังจาก Robert Baratheon แห่ง House of Baratheon (ตระกูลบาราเธียน) กษัตริย์แห่งเจ็ดอาณาจักสวรรคตลง โดยที่ King’s Landing นี้เองเป็นเมืองหลวงของทั้งเจ็ดอาณาจักรและเป็นที่พำนักขององค์กษัตริย์ ซึ่งที่มาของชื่อนั้นมีความคล้ายคลึงกับเมืองทิพย์เมืองก่อนหน้านี้ก็คือตั้งตามผู้อยู่อาศัยก็คือ King (กษัตริย์) และ landing ที่แปลว่าการลงจอดของเครื่องบิน หรือในที่นี้สามารถตีความหมายถึงที่พำนักได้           

ใด ๆ ก็ตามในปีที่ 7 ของซีรีส์ เมืองทิพย์เมืองนี้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะที่ทำหน้าที่ได้สมชื่อ ก็คือ The King actually landed in King’s Landing. ส่วนจะเป็นใครนั้นแนะนำให้ติดตามชมได้ในเรื่องเลยค่า


 Mystic Fall (The Vampire Diaries)

เมืองทิพย์เมืองถัดมามีชื่อว่า Mystic Fall ในรัฐเวอร์จิเนียน ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองสมมติจากเรื่อง The Vampire Diaries (บันทึกรักเทพบุตรแวมไพร์) โดยนวนิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งจากเมือง Mystic Fall ที่ได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายทั้งแวมไพร์ พ่อมด แม่มด มนุษย์หมาป่า ตัวตายตัวแทน ซึ่งชื่อเมืองนี้ก็ Mystic Fall สมชื่อจริง ๆ

เพราะ mystic หมายถึงแปลกประหลาด และถ้าเป็นคำนามก็สามาถหมายถึงคนที่มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอีกด้วย ส่วน fall ก็หมายถึงร่วงหล่นหรือในที่นี้สามารถตีความหมายได้ว่าประสบพบเจอนั่นเอง ซึ่งเมืองนี้ก็มีเรื่องราวประหลาด ๆ กับเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นมามากสมชื่อ Mystic Fall จริง ๆ ค่ะ


 Minas Tirith (The Lord of the Rings)

มาต่อกันที่เมืองทิพย์เมืองสุดท้ายกันค่ะ นั่นก็คือ Minas Tirith ฟังดูแปลกใช่ไหมคะ ไม่ต้องแปลกใจค่ะเพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ถูกตั้งชื่อโดยใช้ภาษาซินดาริน ภาษาเอลฟ์ที่นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง J.R.R. Tolkien ใช้เวลานับสิบปีในการคิดค้นขึ้น โดยเมืองทิพย์เมืองนี้ปรากฏอยู่ในนวนิยายชุด The Lord of the Rings เมือง Minas Tirith เป็นเมืองหลวงของอาณาจักร Gondor มีลักษณะเป็นป้อมปราการ (Sindarin: minas; English: fort) เจ็ดชั้นตั้งอยู่ใกล้กับดินแดนชั่วร้ายอย่าง Modor ที่เป็นที่ตั้งของ Mout Doom (ภูเขาแห่งหายนะ) ซึ่งเป็นที่ที่ Frodo Baggins ต้องนำแหวนเอกไปทำลายนั่นเอง

โดยความหมายของชื่อเมืองนี้คือ Tower of Guard (ปราการระวังภัย) ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะเป็นปราการที่ตั้งอยู่บนเขตชายแดน คอยป้องกันการรุกรานจากสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาย่ำกรายในแดนมนุษย์ได้


เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับที่มาของชื่อเมืองทิพย์ที่ได้ยกตัวอย่างมา การตั้งชื่อสถานที่ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ในภาษาอังกฤษแต่รวมไปถึงทุก ๆ ภาษาย่อมมีที่มาและความหมายอันลึกซึ้งสะท้อนให้เห็นว่าทุกสถานที่มีประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่ หากวันไหนทุกคนได้มีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยก็ลองใช้เวลาสักนิดในการค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในชื่อสถานที่เหล่านั้นนะคะ

Share
.