Reported Speech คืออะไร และใช้อย่างไร พร้อมวิธีการเปลี่ยนรูป

13321

Reported speech  นั้นมีอีกชื่อหนึ่งว่า Indirect Speech บางตำราจะใช้คำนี้ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องสับสนหรือตกใจไป เพราะว่ามันคืออันเดียวกันนะคะ

ทีนี้มาดูกันว่ามันคืออะไรกันแน่ 

คำว่า speech นั่นก็คือการพูดนั่นเอง ส่วน report คือการรายงาน ดังนั้นถ้าแปลตรงตัว Report Speech ก็มีความหมายที่ว่าการรายงานคำพูด ฟังที่แปลตรงตัวอาจจะดูงงๆ Report Speech จริงๆแล้วนั้นคือ การนำเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดต่อ เพื่อให้อีกคนหนึ่งที่เป็นบุคคลที่สามรู้ ถ้าตัวอย่างง่ายๆในภาษาไทยก็อย่างเช่น ป้าข้างบ้าน ได้เข้ามาคุยกับเรา แล้วถามเราว่า

“ทำไมยังไม่มีแฟนอีกหรอ” ด้วยความที่เราก็หมั่นไส้ป้า เลยจะเอาไปเม้ามอยกับเพื่อน เวลาที่เราบอกเพื่อนนั้น เราก็ยกคำพูดของป้ามาพูด อย่างเช่น เงียบแต่ป้าข้างบ้านฉันน่ะถามฉันว่า “ทำไมยังไม่มีแฟนอีกหรอ” อย่างนี้เป็นต้น

แบบนี้คือการที่เราเอาพูดของคนอื่นเอามาเล่าให้บุคคลที่ 3 ฟังอีกต่อนึง นี่แหละค่ะคือ Reported speech ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างอื่นๆกัน

  • เเม่บอกเราว่า “ไปเก็บผ้าซะที ฝนจะตกอยู่เเล้ว” เราเลยเอาไปฟ้องพ่อว่า “แม่บอกว่าไปเก็บผ้าซะที ผนจะตกอยู่เเล้ว”
  • จีจี้บอกเราว่า “ฉันไม่ให้เธอลอกการบ้านฉันหรอกนะ” เราเลยเอาไปเล่าให้เพื่อนอีกคนฟังว่า “จีจี้บอกฉันว่า หล่อนจะไม่ให้ฉันลอกการบ้านหล่อน”

สังเกตจากตัวอย่างอันที่ 2 ข้างบน จะเห็นว่ามันคือการเอาคำพูดของคนที่พูดให้เราฟังตอนแรกมาพูดต่ออีกทอดหนึ่ง 
.
.
.

.

และอย่างที่ได้บอกข้างต้นไป ว่า Reported speech นั้น คืออันเดียวกันกับ Indirect Speech ทีนี้มันก็มีอีกตัวนึงที่เราต้องรู้ ก็คือ Direct Speech ซึ่งมันก็คือคำพูดที่เราเอามาพูดโดยตรง เช่น จีจี้บอกเราว่า “ฉันขี้เกียจทำการบ้าน” สามารถนำมาพูดแบ่งประเภทได้ตามนี้ 

  • Direct Speech: จีจี้บอกฉันว่า “ฉันขี้เกียจทำการบ้าน”
  • Indirect Speech: จีจี้บอกฉันว่าหล่อนขี้เกียจทำการบ้าน

ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างภาษาอังกฤษกันบ้าง 
.
.

สมมุติว่าเราได้ไปพูดคุยกับพอลมา แล้วเราต้องการเอาสิ่งที่พอลพูดมาบอกต่อ มันก็จะมี 2 วิธีการที่เราสามารถนำมาบอกต่อได้อย่างที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น ก็คือแบบ Direct Speech การบอกต่อแบบตรง และ Indirect Speech การบอกต่อแบบอ้อม

พอลได้พูดกับเราว่า “I’m feeling ill.” ฉันรู้สึกไม่สบายเลย

Direct speech: Paul said “I’m feeling ill.”

Reported speech: Paul said that he was feeling ill.

เห็นไหมคะว่าตัวอย่างแรกนั้น การยกเอาคำพูดของพอลมาโดยตรงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยมีเครื่องหมาย (“”) คั่นไว้ ตัวอย่างอันสุดท้ายนั้น คือการนำเอาสิ่งที่พอลพูดมาพูดในฉบับของตัวเอง 

แล้วถ้าต้องการที่จะทำ Reported Speech ต้องทำอะไรบ้าง?

  1. ต้องเปลี่ยนรูป tense ให้เป็นขั้นอดีตกว่าของ tense ปัจจุบันเสมอ
  2. ต้องจำคำ Reporting Verb (tell, say)
  3. ต้องจำ Personal Pronoun ให้แม่น (he, she, it, they, we, her, him etc.)
  4. ต้องเปลี่ยนเป็นประโยคบอกเล่าในกรณีที่เป็นประโยคคำถามมาตอนแรก 
  5. ต้องเปลี่ยนเป็น Past Perfect กรณีที่มันเป็น Past Simple, Present Perfect และ Past Perfect มาตอนแรก

.
.
ก็อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นถ้าเราต้องเปลี่ยนรูป Tenseให้เป็นรูปอดีตกว่ารูปเดิมของโยคนั้นๆเสมอ อย่างเช่น

  • Paul said that, I told her that 

จากประโยคข้างต้นจะเห็นได้ว่า said เป็นรูปอดีตของ say และ told เป็นรูปอดีตของ tell นั่นเอง ที่เหลือในประโยคนั้นก็ต้องเป็นรูปอดีตเหมือนกันอย่างเช่น 

  • Paul said that he was feeling ill. พอลบอกว่าเขารู้สึกไม่สบาย 
  • I told Lisa that I didn’t have any money. ฉันบอกลิซ่าว่าฉันไม่มีเงินแล้ว 

บางทีเราไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า that ตลอดก็ได้อย่างเช่น 

  • Paul said that he was feeling ill. ก็เป็น Paul said he was feeling ill. 

เห็นไหมคะเราก็สามารถตัด that ออกไปได้เลย
.
.
อย่างที่บอกไปข้างต้นเราต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นอดีตกว่ารูปปัจจุบันเสมอ และนี่คือตัวอย่างของคำกริยาที่ต้องเปลี่ยนเป็นรูปอดีต อย่างเช่น

  • am/is ก็เปลี่ยนเป็น was 
  • do/does ก็เปลี่ยนเป็น  did 
  • will ก็เปลี่ยนเป็น would
  • are ก็เปลี่ยนเป็น were 
  • have/has ก็เปลี่ยนเป็น had 
  • can ก็เปลี่ยนเป็น could
  • want/like/know/go etc. ก็เปลี่ยนเป็น wanted/liked/knew/went etc.



เราลองมาเปรียบเทียบกันดูค่ะ ระหว่างตัว Reported Speech และ Direct Speech กันค่ะ

เราได้ไปเจอจีจี้มา นี่คือสิ่งที่จีจี้ได้พูดกับเราในรูปของ Direct speechจากนั้นเราจะเอาสิ่งที่จีจี้พูดไปพูดต่ออีกทอดนึง โดยเราจะใช้ Reported speech
My parents are fine. (พ่อกับแม่ของฉันสบายดี)Gigi said that her parents were fine. (จีจี้บอกว่าพ่อกับแม่ของหล่อนสบายดี)
I’m going to learn to drive. (ฉันจะไปเรียนขับรถ)She said that she was going to learn to drive. (หล่อนบอกว่าหล่อนจะไปเรียนขับรถ)
I want to buy a car. (ฉันต้องการที่จะซื้อรถ)She said that she wanted to buy a car. (หล่อนบอกว่าหล่อนต้องการที่จะซื้อรถ)
John has a new job. (จอห์นได้งานใหม่)She said that John had a new job. (หล่อนบอกว่าจอห์นได้งานใหม่)
I can’t come to the party on Friday. (ฉันไม่สามารถมางานปาร์ตี้ในวันศุกร์นี้ได้)She said that she couldn’t come to theparty on Friday.(หล่อนบอกว่าหล่อนไม่สามารถมางานปาร์ตี้ในวันศุกร์นี้ได้)
I don’t have much free time. (ฉันไม่ค่อยมีเวลาว่าง)She said she didn’t have much free time. (หล่อนบอกว่าหล่อนไม่ค่อยมีเวลาว่าง)

และสิ่งสำคัญ!! อย่างที่บอกไว้ตอนแรก ถ้าเกิดว่ารูป tense ฉันเป็นอดีตอยู่แล้วอย่าง (did/saw/knew etc.) สามารถเปลี่ยนรูปเป็น past perfect ได้ อย่างเช่น (had done/ had seen/ had known etc.).
.
.
.

ทีนี้เราลองมาทำแบบฝึกหัดกัน  อย่าแอบดูเฉลยนะ!!

Q :
Yesterday you met a friend of yours, Steve. You hadn’t seen him for a long time. Here are some of the things Steve said to you:

A :

  1. I’m living in London.
  2. My father isn’t very well.
  3. Rachel and Mark are getting married next month.
  4. My sister has had a baby. 
  5. I don’t know what Joe is doing. 
  6. I saw Helen at a party in June and she seemed fine.





เฉลยแบบทดสอบ

  1. He said (that) he was living in London.
  2. He said (that) his father wasn’t very well.
  3. He said (that) Rachel and Mark were getting married next month.
  4. He said (that) his sister had had a baby.
  5. He said (that) he didn’t know what Joe was doing.
  6. He said (that) he’d seen I he had seen Helen at a party in June and she’d seemed (หรือ she had seeme) fine.
Share
.