การตั้งชื่อของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษนั้น มีข้อดีหลายแง่มุมและยังอาจถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นในหลายๆบริบท อย่างไรก็ดี การตั้งชื่อเรียกตัวเองเป็นภาษาอังกฤษนั้น ไม่ควรตั้งสุ่มสี่สุ่มห้าหรือตั้งให้หวือหวา (แบบเอาความเท่ห์เข้าว่าไว้ก่อน)
ในบทความนี้ เรามีคำแนะนำบางอย่างมาฝาก สำหรับผู้ที่กำลังคิดไม่ออกว่า จะตั้งชื่อตัวเองอย่างไรดี
1) ตั้งชื่อให้สอดคล้องกับชื่อไทยของตัวเอง
ปกติแล้ว คนที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษ มักจะได้ชื่อนั้นๆมาจากการที่เพื่อนชาวต่างชาติตั้งให้
อย่างไรก็ตาม หากคุณยังไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติ คุณอาจจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้พ้องเสียงกับชื่อจริงหรือชื่อเล่นในภาษาไทยของคุณ เพื่อที่จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกขัดเขินต่อตัวเอง
ตัวอย่างเช่น
หากคุณมีชื่อเล่นว่า ต้อม คุณอาจจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษของคุณว่า Tom หรือ Tommy
หากคุณมีชื่อเล่นว่า เพ็ญ คุณอาจจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษของคุณว่า Penny
หากคุณมีชื่อจริงว่า สมคิด คุณอาจจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษของคุณว่า Keith
หากคุณมีชื่อจริงว่า เกตุมณี คุณอาจจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษของคุณว่า Kate
เป็นต้น
2) ตั้งชื่อให้เรียบง่าย ไม่หวือหวา
การตั้งชื่อแบบหวือหวา เช่น กิ๊ฟซี่หรือกิ๊ฟซ่า นั้น ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของคุณด้วย เช่น หากคุณเป็นศิลปิน นักร้อง หรือดาราในประเทศไทย ชื่อในลักษณะนั้น ก็สามารถทำให้คุณเป็นที่จดจำและมีเอกลักษณ์แตกต่างจากศิลปิน นักร้อง หรือดาราทั่วไป
อย่างไรก็ดี หากคุณไม่ได้มีอาชีพเหล่านั้น และมุ่งมั่นที่จะเป็นมืออาชีพในสายงานอื่น ในระดับสากล การตั้งชื่อเรียกแบบง่ายๆ เช่น แจ๊ค ทอม เจ็ฟฟ์ ฯลฯ จะตรงและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของคุณมากกว่า เพราะนักธุรกิจหรือแม้แต่บรรดาชาวต่างชาติทั่วไป จะชอบติดต่อพูดคุยกับคนที่มีภาพลักษณ์ดูเรียบง่ายมากกว่าความหวือหวา
ชื่อที่เรียบง่าย จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเรียบง่ายไปในตัว และยังช่วยสะท้อนถึงบุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะ ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกว่า คุณเป็นคนที่น่าพบปะ สังสรรค์ และคบค้าสมาคมด้วย
3) ตั้งชื่อตามไอดอลของคุณ
ไม่ว่าคุณต้องการจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือสาขาอาชีพใด คุณย่อมมีไอดอลอยู่ในใจบ้าง ไม่มากก็น้อย
การตั้งชื่อตามไอดอลของคุณ เช่น หากคุณทำงานด้านเทคโนโลยีและชื่นชอบสตีฟ จอบส์ มากเป็นพิเศษ คุณก็อาจตั้งชื่อตัวเองว่า สตีฟ ก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ
การตั้งชื่อตามไอดอลของคุณ จะช่วยให้คุณเกิดแรงบันดาลใจ และเป็นการสั่งสมองหรือจิตใต้สำนึกของคุณว่า คุณจะต้องพัฒนาด้านใดบ้าง และคุณสามารถที่จะประสบความสำเร็จแบบเดียวกับไอดอลของคุณได้เช่นกัน ซึ่งจิตใต้สำนึกของคุณนั้นมีพลังมากกว่าที่คิด!
